ทดสอบ All New MG3 Hybrid+ แฮชแบคตัวเล็ก ที่พกพาขุมพลังมาเกินตัว แถมด้วยความประหยัดสุด ๆ
สวัสดีครับพบกับการรีวิวรถยนต์ของ Autoindy กันอีกครั้ง โดยในวันนี้เราจะพาเจ้ารถคันเล็กตัวแรง คือรถ All New MG3 Hybrid+ รถยนต์แฮตช์แบ็กเจนเนอเรชันใหม่ ซึ่งแม้จะเปิดตัวมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังเป็นรถที่น่าสนใจอยู่ ไปขับรถเที่ยวกันบนเส้นทางกรุงเทพฯ พัทยา ชลบุรี แถมด้วยการแวะไปขับวน ๆ เล่นกันแถวสนามบินหนองค้อ ก่อนกลับกรุงเทพฯ เพื่อเก็บความรู้สึกในการขับขี่บนเส้นทางรูปแบบต่าง ๆ มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ
ซึ่งการกลับมาของ All New MG3 Hybrid+ ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การไมเนอร์เชนจ์ แต่คือการยกเครื่องใหม่หมดจด ตั้งแต่หัวจรดท้าย พร้อมเทคโนโลยีและดีไซน์ที่น่าจับตามอง
โดยก่อนที่จะพาไปพูดถึงผลการทดสอบ ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงรายละเอียดของรถคันนี้กันครับ ทั้งเรื่องของดีไซน์, สเปก, ขุมพลัง และฟีเจอร์เด่นๆ
ซึ่งสิ่งแรกจะกล่าวถึง All New MG3 Hybrid+ คือดีไซน์ภายนอกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากรุ่นก่อนหน้าด้วย เส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยวลงตัว แฝงความดุดัน มีความเป็นสปอร์ต และพรีเมี่ยมมากขึ้น พร้อมไฟหน้าแบบ Full LED ทรงเฉี่ยว รับกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่ดูทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้านท้ายก็มีการออกแบบที่ลงตัวด้วยไฟท้ายแบบใหม่เช่นกัน
เมื่อเข้ามาภายใน จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปมากมายไม่แพ้ภายนอก เริ่มต้นจากห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการเพิ่มระยะฐานล้อ ทำให้มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมีระยะเพิ่มขึ้น
วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในดูดี มีคุณภาพเกินราคา พวงมาลัยดีไซน์ใหม่แบบมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน หุ้มหนังอย่างดี พร้อมปุ่มควบคุมที่ใช้งานง่าย เรือนไมค์เป็นจอแสดงผลดิจิทัลสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลข้อมูลการขับขี่ที่ครบถ้วน ส่วนตรงกลางเป็นจอ Infotainment แบบทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ได้อย่างเต็มรูปแบบ
เบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์สปอร์ตโอบกระชับตัวใกล้เคียงกับเบาะบัคเก็ตซีท แต่นั่งสบายกว่า ทำให้การเดินทางไกลไม่รู้สึกเหนื่อยล้า และอีกหนึ่งจุดเด่นคือพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่กว้างขวาง สามารถจุสัมภาระได้ถึง 293 ลิตร ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
All New MG3 Hybrid+ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ทาง MG พัฒนาขึ้น โดยประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson Cycle 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันจะมีพละกำลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า โดยทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบ 3-speed Hybrid Automatic Transmission ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ MG พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่องที่สุด
โดยในการขับขี่ จะสามารถเลือกระบบการทำงานที่เหมาะสมที่สุดจาก 3 โหมดขับขี่ คือ EV Mode, Series Mode และ Parallel Mode เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดทั้งด้านสมรรถนะและการประหยัดพลังงาน
นอกจากดีไซน์และสมรรถนะที่โดดเด่นแล้ว เรื่องความปลอดภัยก็จัดเต็มไม่แพ้กันครับ All New MG3 Hybrid+ มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง หรือ ADAS (Advanced Driver-Assistance Systems) ที่ครบครัน ซึ่งทำงานได้จริงและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้อย่างอัตโนมัติ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane Keep Assist) ที่ช่วยให้รถวิ่งอยู่กึ่งกลางเลนตลอดเวลา, ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking) ที่ช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมีระบบอื่นๆ เช่น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Detection) และระบบเตือนการจราจรขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert) ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่สำคัญมากสำหรับการขับขี่ในปัจจุบัน ทำให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง
หลังจากที่ทบทวนข้อมูลของเจ้า MG3 Hybrid+ กันคร่าว ๆ แล้ว ตอนนี้เราจะพาไปสัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่จริงๆ กันบ้างโดยเริ่มต้น จะขอเล่าถึงสัมผัสแรกที่ได้จากการนั่งลงบนเบาะ เพื่อขับรถคันนี้ สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือเบาะนั่งกระชับจนแทบจะเหมือนกับเบาะแบบบัคเก็ตซีท แต่มีความนุ่มนวลกว่า แต่ก็ไม่ได้นุ่มยวบ ออกไปทางแนวเฟิร์ม ๆ นั่งสบาย และแม้ตัวรถจะดูค่อนข้างเล็กก็ตาม แต่ห้องโดยสารก็กว้างกว่าที่คิด เฮดรูมก็สูงโปร่งนั่งสบาย พวงมาลัยหุ้มหนังจับถนัดมือ ปุ่มคอนโทรลต่าง ๆ บนพวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมได้ง่าย
ส่วนชุดเกียร์เป็นแบบปุ่มหมุนตามสไตล์รถรุ่นใหม่ ๆ ในส่วนของระบบปรับอากาศ และเครื่องเสียงนั้น MG เลือกที่จะยกปุ่มคอนโทรลหลัก ให้แยกออกมาจากหน้าจอ ทำให้สามารถกดได้ง่ายๆ ในระหว่างการขับขี่
เมื่อเริ่มขับขี่ สิ่งแรกที่รู้สึกได้คืออัตราเร่งที่น่าประทับใจมาก ด้วยพละกำลังรวม 194 แรงม้า ทำให้การออกตัวและการเร่งแซงเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ ตอบสนองได้อย่างฉับไวเมื่อเหยียบคันเร่ง ระบบ Hybrid+ ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและตอบสนองได้ทันทีเมื่อต้องการพละกำลังในจังหวะเหยียบคันเร่ง การเปลี่ยนเกียร์ก็ทำได้อย่างนุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึก ทำให้การเร่งความเร็วเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุกในช่วงต่อเกียร์ให้เห็น
เมื่อแรกรับรถทดสอบออกมา ในช่วงต้นของการขับขี่รู้สึกได้ว่าช่วงล่างมีการตอบสนองกับพื้นถนนที่แปลก ๆ แข็งกระด้างผิดปกติ เมื่อตกหลุมก็มีการสะท้านมาที่พวงมาลัยนิด ๆ ผมจึงได้เลี้ยวเข้าไปเช็คลมยางก็พบว่าลมยางที่ถูกบรรจุมาถึง 40 พีเอสไอ จึงปรับแรงดันลงให้ตรงตามสเปก ก็พบว่าอาการของรถเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคัน ช่วงล่างนุ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอาการสะท้านของพวงมาลัยก็หายไป
ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นการตอบสนองของพวงมาลัย ก็เป็นอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมีความแม่นยำและน้ำหนักกำลังดี ทำให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจในทุกจังหวะการเข้าโค้ง ช่วงล่างให้ความรู้สึกแน่นหนึบ และมีความนุ่มนวล สามารถซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบได้ดี ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ว่าจะเจอถนนแบบไหนก็ตาม ตัวรถมีความสมดุลและเกาะถนนได้ดีเยี่ยม ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยในทุกเส้นทาง ซึ่งความหนึบของช่วงล่างยิ่งแสดงออกได้อย่างชัดเจนในถนนเล็ก ๆ คดโค้งตามแนวสวนในละแวกสนามบินหนองค้อ
ในขณะที่ขับขี่อยู่ในเมือง ซึ่งมีสภาพการจราจรที่ติดขัด รถคันนี้ก็ขับขี่ได้คล่องตัวและประหยัดน้ำมันมาก เนื่องจากระบบไฮบริดจะสลับไปใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การขับขี่ในเมืองเป็นไปอย่างเงียบสงบและมีประสิทธิภาพสูงมาก แบตเตอรี่ขนาด 1.83 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สามารถรองรับการขับขี่ในโหมด EV ได้ดีเยี่ยมในความเร็วต่ำ และเมื่อต้องการกำลังเพิ่มเติม ระบบก็จะสลับไปใช้เครื่องยนต์อย่างเรียบเนียน รวมทั้งยังมีระบบ KERS Mode ที่สามารถปรับได้ 3 ระดับ ที่นอกจะช่วยชะลอความเร็วแล้ว ยังช่วยเพิ่มความประหยัดให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในช่วงที่วิ่งอยู่บนเส้นทางมอเตอร์เวย์ เราได้ทดสอบระบบความปลอดภัย ADAS ซึ่งก็ใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพมาก
ระบบ Adaptive Cruise Control ทำงานได้อย่างราบรื่น ช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่ทางไกลได้ดีเยี่ยม และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนก็ทำงานได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้อย่างชัดเจน เป็นฟังก์ชันที่ช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ได้อย่างแท้จริง อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในบางช่วงที่เส้นถนนไม่ชัดเจน หรือในช่วงที่ความเร็วลดต่ำลงจนใกล้ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นจุดที่ระบบจะปลดการทำงาน ซึ่งในระหว่างการขับขี่เมื่อช่วงที่รถคันหน้าลดความเร็วลงมาในช่วงที่เป็นทางโค้งพอดี ในบางจังหวะรถจะมีอาการเหมือน งง ๆ อยู่บ้างนิดหน่อย แต่ไม่บ่อยนัก
ในส่วนของระบบความปลอดภัยที่อยากให้ดีขึ้นอีกนิดก็คือเรื่องของกล้อง 360 องศา ซึ่งก็ชัดเจนในระดับที่สามารถใช้งานได้สบาย ๆ แต่ภาพจะติดหยาบ ๆ อยู่สักนิด ซึ่งถ้าคมชัดขึ้นอีกหน่อยน่าจะดีขึ้นอีกไม่น้อย
และปิดท้ายด้วยสิ่งที่หลายคนอยากรู้คืออัตราความสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิง จากการทดสอบทั้งในเมืองและนอกเมือง ตัวเลขที่ได้ถือว่าน่าพอใจมากครับ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขที่เคลมไว้จากโรงงานที่ 26.2 กิโลเมตรต่อลิตร แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ Hybrid+ ที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง
ในการเดินทางครั้งนี้ เราขับแบบปกติจริง ๆ ไม่ได้ขับประคองเพื่อให้ได้ความประหยัดเป็นพิเศษ มีจังหวะเจอฝนตก รถติด มีจังหวะเร่งแซง ซึ่งค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไปก็อยู่ที่ประมาณ 18-20 กิโลเมตร-ลิตรแบบชิล ๆ แต่ช่วงที่โชว์อัตราความประหยัดที่สุดน่าจะเป็นช่วงขากลับที่เราใช้ระบบ Adaptive Cruise Control บนทางลอยฟ้าบูรพาวิถี ลอย ๆ มาด้วยความเร็วที่ตั้งไว้ 120 กิโลเมตร-ชม. แต่ส่วนใหญ่เมื่อเจอกับรถคันหน้าก็จะได้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ประมาณ 80-100 กิโลเมตร-ชั่วโมง ซึ่งได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ประมาณ 24 กิโลเมตร-ลิตร ซึ่งก็ถือว่าประหยัดใช้ได้เลยทีเดียว
โดยรวมแล้ว All New MG3 Hybrid+ เป็นรถยนต์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่โดดเด่น, สมรรถนะที่น่าประทับใจจากระบบ Hybrid+ ที่ทรงพลัง, การขับขี่ที่นุ่มนวลและมั่นคง, ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน มีสมรรถนะคุ้มค้ากับราคา ทำให้รถคันนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มรถแฮตช์แบค ขนาดเล็ก มาก ๆ อีกคันหนึ่งเลยทีเดียว
ดังนั้น สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถไปทดลองขับและสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถ All New MG3 Hybrid+ ด้วยตัวเองได้ที่โชว์รูม MG ทั่วประเทศครับ