Ford Ranger Wildtrak V6 Diesel 3.0 ลิตร 250 แรงม้า..แรงแบบเนียน ๆ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทีมงานของ Ford ได้ชักชวนผมให้ไปร่วมทดสอบรถกระบะรุ่นใหม่ Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 ลิตร โดยเจ้ารถรุ่นนี้ ถูกวางตำแหน่งเอาไว้ให้เป็น “ตัวท็อป” ของกระบะในตระกูล Ranger ซึ่งจะเป็นรองก็คงจะแค่เพียงเจ้าไดโนเสาร์ Rapter เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้ Ford Ranger Wildtrak V6 ก้าวขึ้นมาเป็นตัวท็อปได้นั้น นอกเหนือจากเรื่องของสนนราคาแล้ว เรื่องของสมรรถนะก็พีคไม่แพ้ใคร ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ
ก่อนจะว่าไปถึงฟิลลิ่งการขับทดสอบ ขอเล่าคร่าว ๆ ถึงสเปคล้ำ ๆ ของรถคันนี้กันเสียก่อนนะครับ
Ford Ranger Wildtrak V6 รุ่นนี้ มีจุดที่เด่นที่สุดคือขุมพลังใต้ฝากระโปรง ที่แหกกฏรถกระบะในตลาดเมืองไทยที่ปกติมักจะเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียงมาเป็นเครื่องยนต์แบบสูบวี 6 สูบ พร้อมระบบเทอร์โบฯอัดอากาศที่มีความจุรวม 3.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 3,250 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดแบบ Flat Torque ที่ 600 นิวตัน-เมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้สามารถรองรับน้ำมันได้ถึง B20 และที่สำคัญเป็นเครื่องยนต์ที่มีการปรับจูนจนผ่านมาตรฐาน Euro5 อีกด้วย
สำหรับระบบส่งกำลังนั้น ทีมงานวิศวกรของ Ford เลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifterมาทำหน้าที่จับม้า และแรงบิดโหด ๆ มาถ่ายทอดลงสู่พื้น พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4A ที่มีโหมดขับเคลื่อนให้เลือกใช้ถึง 6 โหมด คือ Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery, Mud/Ruts และ Sand
ส่วนระบบช่วงล่างนั้น Ford Ranger Wildtrak V6 เลือกใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง พร้อมช็อคอัพฯแบบ MONOTUBE ส่วนช่วงล่างหลังเป็นแบบแหนบซ้อน พร้อมช็อคอัพฯแบบ MONOTUBE พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ และดิฟล็อคไฟฟ้าที่เฟืองท้ายหลัง
สำหรับรูปโฉมภายนอกนั้น หลัก ๆ ก็แทบไม่แตกต่างจาก Ford Ranger Wildtrak รุ่นอื่น ๆ ให้สังเกตเห็นก็คือสัญลักษณ์ V6 ที่บริเวณแก้มหน้าด้านข้าง และล้ออัลลอยด์สีทูโทนขนาดขอบ 20 นิ้ว ที่รัดไว้ด้วยยางขนาด 225/50R20 พร้อมเพิ่มจุดเด่นอีกอย่างที่อาจจะสังเกตไม่เห็น แต่จะโดดเด่นตอนใช้งานคือระบบไฟส่องสว่างแบบ Zone Lighting ซึ่งทำให้ไฟส่องสว่างรอบ ๆ คันของ Ford Ranger Wildtrak V6 สามารถปรับเซ็ตให้เปิดเฉพาะดวงที่ต้องการได้แบบแยกกันอิสระผ่านหน้าจอคอนโทรลภายในรถ ซึ่งจะมีประโยชน์มากในเวลาที่นำเจ้า Wildtrak V6 ไปใช้งานแบบแคมปิ้ง เช่นการเปิดไฟบางดวงเอาไว้เพื่อช่วยให้มองเห็นในบริเวณที่ต้องการ
นอกจากนั้นก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่จัดมาแบบครบ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Matrix LED ไฟ Daytime Runing Light ทรง C-Clamp ระบบไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ กระจังหน้าดีไซน์เฉพาะของ Wildtrak สปอร์บาร์ขอบกระบะ ราวหลังคา และฝาท้าย Easy Lift
ภายในห้องโดยสารดีไซน์โดยเน้นโทนสีดำ ตัดด้วยตะเข็บสีส้ม เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พวงมาลัยไฟฟ้าปรับ 4 ทิศทาง เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold หน้าจอข้อมูลเป็นแบบดิจิตอลขนาด 8 นิ้ว พร้อมด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบ Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ต่ำลงมาเป็นที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ก็จัดมาให้แบบครบครับ เริ่มต้นด้วยระบบความปลอดภัยพื้นฐาน เช่นระบบควบคุมการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบเบรก ABS และ EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว้ำ Roll-Over Mitigation, ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control และถุงลมนิรภัย 7 จุด
นอกจากนั้นยังเสริมด้วยระบบความปลอดภัยชั้นสูง ประกอบด้วยระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง, ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากการชน, ระบบตรวจจับรถในจุดบอดและระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด, ระบบป้องกันการชนในขณะถอยหลัง, ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ และกล้อง 360 องศา และเซ็นเซอร์รอบคัน
ทดลองขับ
เมื่อแรกที่ได้ยินว่าจะได้มาทดสอบ Ford Ranger Wildtrak V6 สิ่งที่คาดหวังในอันดับแรกก็คือ “ความแรง” แต่เมื่อขับจริงบนเส้นทางขึ้นดอยคดโค้งของจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ก็พบว่ารถรุ่นใหม่คันนี้ ไม่ได้มีมาแค่ความแรงเท่านั้น
สำหรับเรื่องความแรงนั้น ก็แรงจริง แต่ด้วยการปรับเซ็ตแบบของวิศวกรฟอร์ดที่ขับแล้วรู้ได้เลยว่าต้องการให้รถคันนี้เป็นรถที่ขับง่าย User Friendly มาก ๆ เพราะในโหมด Normal นั้นพละกำลังจะถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์ 10 สปีดอย่างนุ่มนวล ลื่นไหล ไม่กระโชกโฮกฮาก และแทบจะไม่รู้สึกถึงรอยต่อระหว่างเกียร์เลย ในช่วงการเดินคันเร่ง และผ่อนคันเร่งในช่วงเข้าโค้งขึ้นเขาก็ไม่มีการกระตุก กระชากให้ระคายความรู้สึก ความเร็วเพิ่ม และลดได้ดั่งใจ รวมทั้งที่สังเกตระหว่างทางบนเขารอบเครื่องยนต์ก็แกว่งอยู่ในช่วงเฉลี่ยประมาณ 2,000 รอบเสียเป็นส่วนใหญ่ หากเจอเนินชัน ๆ ก็จะมีบ้างที่ขยับขึ้นไปเกือบ ๆ 3,500 รอบ ทำให้พอจะคาดเดาได้ถึงความประหยัดที่น่าจะเหนือความคาดหมายหากเทียบกับขนาด และดีไซน์ของเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อพูดคุยกับวิศวกรก็พบว่าเป็นไปดังคาดเพราะอัตราบริโภคของเครื่องยนต์รุ่นนี้ทำตัวเลขได้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ 2.0 เลยทีเดียว ส่วนในช่วงทางราบ Wildtrak V6 ก็เร่งแซงได้สบาย ๆ แม้ว่าจะอยู่ในโหมด Normal ก็ตาม
เมื่อเข้าสู่ช่วงทดสอบบนทางออฟโรด เจ้า Ford Ranger Wildtrak V6 ก็แสดงความสามารถของชุดเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ และแรงบิดอันมหาศาลถึง 600 นิวตัน-เมตรได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงที่ต้องปีนป่ายหินก็ขุมพลังที่ถ่ายทอดผ่านเกียร์ทดก็ช่วยให้สามารถขับผ่านไปได้แบบสบาย ๆ เพียงแค่เดินคันเร่งเพิ่มมากกว่าวอร์คกิ้งสปีดเพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่ารถคันนี้สามารถลุยผ่านอุปสรรคได้โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรอบ หรือใช้ความเร็วเข้าสู้ให้รถเกิดความเสียหายเลยทีเดียว
อีกสิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ Ford Ranger Wildtrak V6 เป็นรถที่เก็บเสียงได้อย่างดีเยี่ยม เสียงลมจะเริ่มสัมผัสได้ก็ต้องใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว แถมเสียงคำรามของเครื่องยนต์ก็แทบไม่ได้เข้ามารบกวนภายในห้องโดยสารเลย ระหว่างเดินทางผมสามารถคุยกับเพื่อนร่วมทริปได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องตะโกนคุยกันเลยในแทบทุกช่วงของเส้นทาง จะมีแทรกเข้ามาบ้างก็ในช่วงที่กระแทกคันเร่งคิ๊กดาวน์เร็ว ๆ เพื่อเร่งแซงแต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมาย เรียกว่าเป็นรถกระบะที่ขับได้สบายหูมาก ๆ รุ่นหนึ่ง
ส่วนช่วงล่างนั้น ก็น่าจะเป็นช่วงล่างที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถกระบะ เพราะช่วงล่างของรถรุ่นนี้ให้ความ “หนึบ” และ “นุ่มนวล” ชนิดที่รถ SUV บางรุ่นยังสู้ไม่ได้ ยิ่งเมื่อรวมกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับเซ็ตความหนืดได้ตามความเร็ว และมีความ “แม่น” มาก ๆ ทำให้ Ford Ranger Wildtrak V6 เป็นรถกระบะที่ขับง่าย และขับสนุกมาก ๆ รุ่นหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากขับขี่ตลอดเส้นทาง และพูดคุยกับเพื่อนร่วมทริปแล้ว ความคิดเห็นก็ตรงกันว่า Ford Ranger Wildtrak V6 เป็นรถที่ดี มีออปชั่นครบครัน และน่าใช้มาก ๆ จะติดอยู่นิดก็คือเรื่องของสนนราคา 1.5 ล้าน ที่ดูจะสูงไปสักนิด แต่ถ้าคุณสนใจผมอยากแนะนำให้ไปลองขับดูครับ ถ้าได้สัมผัสรถรุ่นนี้ด้วยตัวคุณเองแล้ว คุณอาจจะรู้สึกว่าราคาไม่ใช่ปัญหาก็เป็นได้...