Test Drive_Next-Gen Ford Ranger ฝ่าสายฝน ตะลุยออนโรด-ออฟโรด บนเส้นทางภูเก็ต-กระบี่-พังงา

              เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทีมงาน Autoindy ได้รับเชิญไปทดสอบรถกระบะตระกูลแกร่ง Next-Gen Ford Ranger ที่เปิดตัวออกมาขวางหน้าคู่แข่งตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเปิดจองทำตลาดจริง ๆ ไม่นานมานี้ โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบแบบครบเครื่องทั้งออนโรด ออฟโรด ตามสไตล์ฟอร์ด บนเส้นทางภูเก็ต-พังงา-กระบี่

              การเดินทางเริ่มต้นจากสนามบินดอนเมือง บินลัดฟ้าไปสู่สนามบินภูเก็ต เข้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อรับฟังข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวรถและเส้นทาง จนถึงช่วงสาย ๆ ขบวนทดสอบก็พร้อมเดินทาง พร้อม ๆ กับที่พวกเรากระโดดขึ้นรถเพื่อเดินทางฝนก็เริ่มโปรยลงมา และกระหน่ำหนักขึ้นตามช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปชนิดที่มองทางกันแทบไม่เห็น

              อ่อ..ลืมบอกไปนะครับว่าในช่วงแรกที่เป็นเส้นทางออนโรด จากโรงแรมมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ทดสอบออฟโรดเป็นระยะทางเกือบ ๆ  100 กิโลเมตร เราประจำการอยู่บนรถ Next-Gen Ford Ranger รุ่น Sport ขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่มีชื่อรุ่นเต็ม ๆ ว่า Double Cab 2.0L Sport 4×2 6AT พละกำลัง 170 แรงม้า แรงบิด 405 นิวตันเมตร โดยในคราวนี้คงจะไม่ได้เล่ารายละเอียดของสเปกรถกันเยอะนะครับ อยากจะเน้นเรื่องการทดสอบมากกว่าไม่งั้นเรื่องราวจะยาวเกินไป เพราะ Autoindy เคยเขียนไปแล้วตอนเปิดตัว ลองกลับไปหาอ่านกันได้ครับ

              ในการเดินทางผมเป็นมือแรกที่ขับทดสอบ เมื่อแรกที่ขึ้นไปนั่งบนรถคันนี้ ก็พบว่าการดีไซน์ตำแหน่งที่นั่งทำได้ดี เบาะโอบกระชับตัว วัสดุของเบาะไม่นิ่ม ไม่แข็งเกินไปนั่งสบาย ทัศนะวิสัยในการขับขี่ดี เสา A ดูเล็กลงทำให้มุมสายตากว้างขึ้น ชัดเจนขึ้น ตำแหน่งของปุ่มคอนโทรลต่าง ๆ อยู่ในระยะมือเอื้อม ทำให้ควบคุมระบบต่าง ๆ ทำได้ง่าย แต่ส่วนตัวรู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับการที่ฟอร์ดจับระบบคอนโทรลหลาย ๆ อย่างเข้าไปรวมไว้กับหน้าจอเกือบทั้งหมด นั่นหมายความว่าหลาย ๆ ระบบที่ปกติเราสามารถปรับตั้งระหว่างการขับขี่ได้ง่าย ๆ จะต้องปรับให้เสร็จสรรพบนหน้าจอตั้งแต่เดินทาง ขับไปทำไปค่อนข้างลำบากอยู่พอสมควร

              ในการขับขี่ช่วงนี้ สิ่งที่รู้สึกได้จาก Next-Gen Ranger ก็คือพละกำลังและการปรับจูนที่ลงตัว การตอบสนองจากคันเร่งที่ว่องไว อัตราเร่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวหรือเร่งแซงก็ทำได้แบบสบาย ๆ แต่เสียดายที่ช่วงที่ผมขับฝนกระหน่ำอย่างหนัก ทัศนวิสัยแย่มาก รวมทั้งยังมีน้ำขังบนถนนสูงพอสมควรทำให้ไม่สามารถขับได้อย่างเต็มที่ แต่เท่าที่จับอาการของรถได้ขณะขับก็คือรถมีการทรงตัวที่ดี ช่วงล่างนุ่มนวลขึ้น พวงมาลัยคอนโทรลได้แม่นยำ คม และตั้งความหนืดเอาไว้พอดิบพอดีในความรู้สึกของผม ไม่หนักไป หรือเบาไป รวม ๆ แล้วพอจะไปเทียบเท่ากับรถ SUV รุ่นหรู ๆ บางรุ่นได้เลยทีเดียว

              อัตราทดเกียร์ทำได้สมูทราบรื่น ไม่มีอาการกระตุก กระชากของการต่อเกียร์ ขับแล้วเนียนจนแทบจะคิดว่าเป็นเกียร์ CVT ทั้งที่ไม่ใช่ ในบางช่วงที่ฝนพอซาให้สามารถทำความเร็วได้หน่อย ขับเผลอ ๆ เพลิน ๆ หันมาดูเรือนไมล์อ้าว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซะแล้ว เพราะเกียร์เนียน ช่วงล่างเกาะถนน และนุ่มนวล นิ่งมากจนไม่รู้สึกว่าขับเร็ว

              ระหว่างการขับขี่ระบบตัวช่วยต่าง ๆ เช่น Lane Departure หรือ Lane Keeping ก็ทำงานได้ดีแม้ว่าฝนจะบดบังทัศนวิสัยไปบ้าง เรียกว่าถ้าตาเรามองเห็นเส้นเลนถนน ระบบของรถก็สามารถจับเส้นถนนได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเราขับรถเบนเข้าหาเส้นโดยไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ก็จะมีไฟเตือนขึ้นบนหน้าปัด พร้อมกับการสั่นเตือนของพวงมาลัย แต่หากเรายังดื้อที่จะขับเข้าไปหาเส้น พวงมาลัยก็จะดึงกลับ ซึ่งหากเทียบกับรถรุ่นแรก ๆ ที่ใส่ระบบนี้ลงมา Next-Gen Ranger ถือเป็นรถที่คอนโทรลพวงมาลัยได้แบบนิ่มนวล เป็นผู้ดีมาก ๆ ไม่กระตุกจนตกใจ และเรายังสามารถฝืนคอนโทรลตามใจเราได้หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

              กลับมาที่เรื่องอัตราเร่งกันอีกครั้ง จากการขับขี่บนถนนที่ค่อนข้างลื่น เราพบว่าหลายครั้งที่เดินคันเร่งในช่วงออกตัว หรือเร่งแซงเร็วไปสักนิด จะมีอาการ “ล้อฟรี” ให้เห็นอยู่หลายครั้ง แต่อยู่ในระดับที่คอนโทรลได้ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าทางวิศวกรจงใจจะ “จูน” ให้รถรุ่นนี้มีพละกำลัง “เผื่อ” เอาไว้สำหรับการออกตัวพอสมควร ดังนั้นผู้ขับขี่จึงอาจจะต้องปรับตัวนิดหน่อย เพื่อให้การขับขี่มีความสมูทมากขึ้น

ออฟโรดสุดมัน..สไตล์ฟอร์ด

              เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ทดสอบออฟโรดในจังหวัดพังงา ที่มีสภาพเป็นเหมืองเก่าต่อเนื่องกับสวนปาล์ม ซึ่งถูกปรับแต่งให้เป็นสถานีออฟโรดให้พวกเราได้ทดสอบรถกันแบบจะจะ ครบทุกระบบขับเคลื่อน เราก็เปลี่ยนรถไปขึ้นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ คือ Next Gen Ford Ranger Double Cab Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 4x4 10AT ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับ ว่าการปรับแต่งรถรุ่นใหม่จากฟอร์ดครั้งนี้ คิดมาเยอะจริง ๆ เพราะตัวรถมีการปรับเพิ่มทั้งมุมปะทะ และมุมจาก รวมทั้งยังเสริมโหมดการขับขี่สไตล์ลุยให้เลือกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นลุยทราย ลุยโคลน ปีนหิน รวมทั้งยังมีการติดตั้งระบบ Driff-Lock มาให้ด้วย

              การทดสอบออฟโรดทีมงานฟอร์ดแบบสถานีออกเป็น 8 สถานี

              สถานีที่ 1 เนินชัน ด้วยการสขับลงและขึ้นเนินชัน เพื่อเป็นการโชว์องศามุมปะทะ และมุมจากของรถ โดยให้ใช้โหมดการขับขี่แบบ Normal Mode คู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H โดยในช่วงขาลงตัวรถจะทำงานด้วยระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา หรือ Hill Descent Control ที่จะช่วยชะลอความเร็วให้ด้วย ซึ่งเรนเจอร์ รุ่นใหม่นี้ก็สามารถผ่านไปได้แบบสบาย ๆ

              สถานีที่ 2 เป็นการขับลุยน้ำที่ลึกถึง 80 เซนติเมตร ซึ่งระหว่างการขับขี่ต่อเนื่องทั้งสองสถานีนี้ทางเจ้าหน้าที่ประจำรถก็แนะนำให้ใช้กล้อง 360 องศา ประกอบการขับขี่ด้วยเนื่องจากระหว่างการขับขี่มีอยู่หลายมุมที่ไม่สามารถมองเห็นมุมเลี้ยวของรถได้ ซึ่งระบบดังกล่าวก็ช่วยให้การขับขี่บนทางออฟโรดทำได้ง่ายขึ้นจริง ๆ

 

              สถานีที่ 3 เส้นทางเป็นดินโคลนหนังหมู ประกอบกับฝนที่ยังพร่ำลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนทำให้เส้นทางมีความลื่นมาก หากเป็นรถปกติ วิ่งบนเส้นทางแบบนี้ ตัวรถจะมีการไถลออกนอกเส้นทางอย่างแน่นอน สถานีนี้จึงเป็นการทดสอบระบบกระจายแรงบิดของรถ ซึ่งทำให้รถสามารถผ่านอุปสรรคมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

 

               สถานีที่ 4 เป็นทางโคลน ที่มีความลึกกว่าในสถานีที่ 3 ซึ่งหากเป็นรถปกติ นอกจากอาการลื่นไถล ควบคุมรถได้ยากแล้ว ยังมีโอกาสที่รถจะขุดตัวเองจนติดหล่มได้ด้วย ในโหมดนี้เจ้าหน้าที่ประจำรถแนนำให้ขับขี่ด้วย Mud Mod กับ 4H แต่เสริมเข้าไปด้วยระบบล็อคเฟืองท้าย ซึ่งก็ทำให้สามารถผ่านอุปสรรคของสถานีนี้ไปได้สบาย ๆ

 

 

               สถานีที่ 5 เป็นการขับขี่บนพื้นกรวด สถานีนี้เราจะขับขี่กันด้วยความเร็วที่สูงขึ้นและทดสอบการหักเลี้ยวพวงมาลัยเร็ว ๆ บนพื้นกรวด เพื่อดูถึงการตอบสนองของช่วงล่าง การทรงตัว รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ซึ่งขณะขับขี่ก็พบว่าในขณะที่รถเหวี่ยงตัวแรง ๆ เนื่องจากการหักเลี้ยวแรงบนพื้นกรวดจะเกิดการลื่นไถล ตัวรถจะไม่เหวี่ยงจนควบคุมรถลำบาก ขณะเดียวกันระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวก็ทำหน้าที่ตัดกำลังและจับเบรกเพื่อ “ช่วย” ให้รถอยู่ในการควบคุมได้ดีขึ้นอย่างทันใจ

 

 

               สถานีที่ 6 ทางหิน สภาพเส้นทางขึ้นหินก้อนใหญ่ ๆ ที่เทกองเรียงกันไว้เป็นทาง ซึ่งบนเส้นทางนี้ เราเปลี่ยนมาใช้ 4L คู่กับระบบล็อคเฟืองท้าย พร้อมกับปล่อยให้รถปีนป่ายผ่านอุปสรรคไปด้วยรอบต่ำหรือวอร์คกิ้งสปีด

 

 

                สถานีที่ 7 ทางทราย ในเส้นทางนี้เราเปลี่ยนมาใช้ Sand Mode ซึ่งระบบจะควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ พร้อมทำงานคู่กับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ทำให้การขับขี่ราบรื่น ขับง่าย ไม่ต้องห่วงว่ารถจะติดหล่มทรายง่าย ๆ

 

 

                สถานีที่ 8 เป็นการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดจริง ๆ ซึ่งในสถานีนี้ผมไม่ได้ลงไปทดสอบนะครับ เนื่องจากต้องขับพาหนะคันเดิมคือเจ้า Sport 4x2 กลับสู่โรงแรม โดยเส้นทางนี้จะเป็นรถในกลุ่มของคนที่ได้ขับ 4x4 มาตั้งแต่ต้นเป็นคนขับครับ แต่อย่างไรก็ดีในช่วงรอยต่อของแต่ละสถานีก็จะมีเส้นทางออฟโรดสั้น ๆ ให้ได้ทดลองขับกันบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอให้รู้ฟิลลิ่งครับ

              สรุปโดยรวมบนเส้นทางออฟโรด เจ้า Next Gen Ranger Wild Track 4x4 ก็สามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ทีมวิศวกรสามารถหาข้อลงตัวระหว่างการควบคุมพละกำลังของเครื่องยนต์ และควบคุมระบบการขับเคลื่อนได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น เอากันจริง ๆ หลังจากที่ขับขี่ผ่านไปครบทุกสถานี เอาง่าย ๆ สำหรับคนที่เล่นออฟโรดถ้าไม่ได้คิดจะไปลุยหนักชนิดต้องไปเบียดต้นไป รูดผนังผา หรือลุยบ่อโคลนลึกมิดล้อแล้วล่ะก็ จัดยาง Mud Terrain ดี ๆ สักชุด รับประกันไปได้เกือบทุกเส้นทางแล้วครับ เพราะจริง ๆ แล้วอุปสรรคของการทดสอบในคราวนี้จริง ๆ น่าจะเป็นเพราะยางเดิม ซึ่งเป็นยางสำหรับวิ่งบนถนนดำเป็นหลัก ไม่สามารถสลัดโคลนออกได้ออกได้เร็วพอทำให้โคลนติดยางจนกลายสภาพเป็น “โดนัท” กลม ๆ ลื่น ๆ ไม่สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวถนนได้จนทำให้รถเกิดอาการลื่นไถล ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้เป็นหลัก

              แต่เมื่อมีสิ่งที่ชอบ ก็ต้องมีสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งสำหรับผมแล้ว มีความรู้สึกว่าในการปรับโหมดการขับเคลื่อนต่าง ๆ ดูจะสับสน วุ่นวายไปสักหน่อย เพราะมีการแยกส่วนออกเป็นหลายส่วนเช่น บางระบบมีปุ่มปรับภายนอกเช่นการเลือกระบบขับเคลื่อน บางส่วนต้องเข้าไปปรับที่หน้าจอกลาง เช่นการเลือกโหมดสภาพเส้นทาง บางส่วนก็ต้องเข้าไปปรับที่หน้าจอคอนโซลหน้า ซึ่งใช้ใหม่ ๆ ก็มีงง มีสับสนกันบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สามารถศึกษาและปรับตัวได้ ซึ่งถ้ามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป แต่ไปมองในเรื่องของสมรรถนะและเปอร์ฟอร์แมนซ์ของรถแล้วละก็ Next Gen Ford Ranger ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อเป็นรถที่น่าใช้มาก ๆ อีกคันหนี่งเลยทีเดียวล่ะครับ ผมแนะนำว่าหากใครมองหารถกระบะสักคันอยู่ในช่วงนี้ อย่าลืมแวะเข้าไปลองขับ Next Gen Ford Ranger ดูสักครั้งนะครับ

 

Visitors: 1,008,725