เอ็ม เอ เอ็น ผู้บุกเบิกรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลจากเยอรมัน สู่แบรนด์รถบรรทุกชั้นนำที่ครองใจผู้ประกอบการไทย

13 ธันวาคม 2564

          เป็นระยะเวลาเกือบทศวรรษที่แบรนด์เอ็ม เอ เอ็น เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยและส่งมอบรถบรรทุกคุณภาพชั้นนำระดับโลกถึงมือผู้ประกอบการไทยในวงการธุรกิจขนส่งและอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมากมาย ด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ผ่านการคิดค้นพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญในเยอรมนี และนำเข้าประเทศไทยแบบ CBU 100% ให้ลูกค้าผู้ประกอบการมั่นใจในมาตรฐานการผลิต ความแข็งแกร่งทนทาน ผสานกับบริการหลังการขายที่ใส่ใจดูแลอย่างทั่วถึง วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนย้อนดูเส้นทางการเติบโตของแบรนด์เอ็ม เอ เอ็น ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันในฐานะแบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำที่ขับเคลื่อนธุรกิจขนส่งทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

เอ็ม เอ เอ็น ผู้บุกเบิกรถยนต์แบบเครื่องยนต์ดีเซลคันแรกของโลก

          เอ็ม เอ เอ็น เริ่มต้นผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในโรงงานประกอบขนาดเล็กในเมืองลินเดา ประเทศเยอรมนี ในปี 1915 ซึ่งในขณะนั้นโรงงานการผลิตนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ M.A.N. – Saurer Truck Works หลังจากที่เครื่องยนต์ดีเซลเครื่องแรกของโลกถูกประดิษฐ์ขึ้น ในปี 1924 เอ็ม เอ เอ็นได้เปิดตัวรถยนต์แบบเครื่องยนต์ดีเซลคันแรกของโลกที่มีระบบอัดฉีดเชื้อเพลิงและโครงสร้างของรถบัสที่เป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมดบนตัวถังแบบโลว์-เฟรม แชสซี ซึ่งเอ็ม เอ เอ็น ได้สร้างความสำเร็จอันน่าจดจำเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรถบัส 3 เพลา และรถรางขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเป็นรถบรรทุกดีเซลขนาดใหญ่ที่ทรงพลังที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งในปี 1955 ที่เอ็ม เอ เอ็นได้ผลิตรถบรรทุกคันแรกในรุ่น 515L1 ณ โรงงานในเมืองมิวนิก-อัลลาช ที่ต่อมากลายเป็นโรงงานที่ผลิตรถบรรทุกแบรนด์เอ็ม เอ เอ็น จำนวนกว่า 100,000 คัน อีกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจ คือ เมื่อรถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น รุ่น 19.280 ได้รับเลือกให้กลายเป็น ‘Truck of the Year’ ในปี 1978 ทำให้แบรนด์เอ็ม เอ เอ็น ได้รับความไว้วางใจในฐานะผู้นำด้านการผลิตยานยนต์เพื่อการพาณิชย์และให้บริการขนส่งทั่วยุโรป 

มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและผสานวัตกรรมผลิตรถบรรทุกชั้นนำ

           รถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น ได้รับรางวัลการรันตีอย่างต่อเนื่องมามากมาย นับเป็นผลผลิตจากการที่เอ็ม เอ เอ็น ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าและวิจัยใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การขับขี่อัตโนมัติ (automated driving) การเชื่อมต่อสื่อสาร (connectivity) รวมถึงการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้รถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น สามารถออกตัวได้แรง วิ่งได้เร็ว แต่ลดการใช้พลังงานน้ำมันและลดปริมาณไอเสีย ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย ดีไซน์ที่โดดเด่นและสมรรถนะเครื่องยนต์ที่แรงเหนือใคร และเอ็ม เอ เอ็น ได้สร้างความสำเร็จอีกครั้งในปี 2008 ด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ 2 รุ่นใหม่ TGX และ TGS ที่ได้รับรางวัล "Truck of the Year" และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล German Design Award รถบรรทุกรุ่น V8 มีกำลัง 680 แรงม้าเป็นรถบรรทุกรุ่นที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป

           รถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น ได้ผสานฟังก์ชั่นสุดล้ำทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็น โดยมีจุดเด่นคือ ระบบฟังก์ชั่นที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสะดวกสบายในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น MAN BrakeMatic ระบบเบรคล้อแบบลมล้วนควบคุมด้วยอิเลคโทรนิคแบบดิสค์เบรคทั้งด้านหน้าและด้านหลังติดตั้งมาพร้อมกับระบบป้องกันล้อล็อคอัตโนมัติ (ABS) MAN TipMatic ระบบเกียร์ทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติ (Smartshifting) สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้สะดวก มาพร้อมกับระบบการตรวจบรรทุกน้ำหนัก (Load Detection) ของตัวรถที่จะช่วยทำการเลือกเกียร์ที่เหมาะสมในการออกตัวและในสถานการณ์ต่างๆ โดยคำนึงถึงน้ำหนักของตัวรถและน้ำหนักบรรทุก รวดเร็ว MAN Easy Start ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน เพิ่มความสะดวกในการออกตัวและความปลอดภัยโดยช่วยให้รถไม่ไหลไปด้านล่าง รวมถึงช่วยลดการทำงานของคลัทช์และเกียร์ ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าใช้จ่าย และมาพร้อมระบบรองรับน้ำหนักของตัวรถทั้งเพลาหน้าและเพลาหลังเป็นแบบแหนบ (Parabolic Leaf Spring) พร้อมกับโครง เพื่อให้การรองรับน้ำหนักและการทรงตัวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก้าวสู่ที่หนึ่งในใจผู้ประกอบการขนส่งไทย

          เอ็ม เอ เอ็น ได้เข้ามาทำตลาดประเทศไทยครั้งแรกในปี 2555 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนส่ง เอ็ม เอ เอ็น จึงได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2562 พร้อมเปิดตัวรถบรรทุกหัวลากเรือธง TGS 3 รุ่น ได้แก่ MAN TGS 6x4 360 แรงม้า TGS 6x4 400 แรงม้า และ TGS 6x4 440 แรงม้า ซึ่งเอ็ม เอ เอ็น ได้ประกาศความสำเร็จในตลาดประเทศไทยด้วยยอดจดทะเบียนรถบรรทุกที่เติบโตสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยมียอดรถจดทะเบียนเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2564 เติบโดขึ้นกว่า 97% จากปี 2563 และยังคงทยอยส่งมอบรถให้ลูกค้าผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องผ่านเครือข่ายดีลเลอร์ทั่วประเทศไทย ทั้งดีลเลอร์รายใหญ่ประจำภาคกลาง บริษัท เค-แมน.ออโต้เซอร์วิส จำกัด และดีลเลอร์รายใหญ่ประจำภาคใต้ บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วิฮีเคิล จำกัด ซึ่ง เอ็ม เอ เอ็น ยังคงมีแผนที่จะขยายเครือข่ายดีลเลอร์ไปยังจังหวัดสำคัญในภาคอื่นๆ เปิดศูนย์บริการแบบครบวงจรทั้งการจำหน่ายและการบริการหลังการขายที่ครอบคลุมและเดินหน้าครองใจผู้ประกอบการไทยต่อไป

บริการหลังการขายครอบคลุมดูแลครบวงจร

           นอกจากสมรรถนะและเทคโนโลยีเสริมฟังก์ชั่นต่างๆของรถบรรทุกแล้ว เอ็ม เอ เอ็นยังใส่ใจและให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายเพื่อเพิ่มความมั่นใจกับลูกค้าผู้ประกอบการและดูแลคนขับรถอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็น บริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาให้บริการถึงที่ทั่วประเทศไทย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าซ่อมบำรุงแต่ละครั้งฟรีสัญญาบริการบำรุงรักษา COMFORT เป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 300,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 เดือนไม่จำกัดระยะทาง นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ยังมีการรับประกันคุณภาพของอะไหล่ 24 เดือน โดยไม่จำกัดระยะทาง ให้ลูกค้ามั่นใจและได้ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ คุ้มค่าคุ้มราคา ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาจุกจิกหรือการใช้งานในระยะยาว

           จากจุดเริ่มต้นของเอ็ม เอ เอ็น ในโรงงานเล็กๆที่ประเทศเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลามากกว่า 100 ปี ที่เอ็ม เอ เอ็น ไม่หยุดคิดค้นและพัฒนารถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นที่ก้าวล้ำตามยุคสมัยตลอดเวลา โดยเอ็ม เอ เอ็น ยังคงยึดมั่นในเป้าหมายของแบรนด์ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจขนส่ง พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการและเหล่าสิงห์รถบรรทุกทั่วโลก และในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำของโลก เอ็ม เอ เอ็น ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานการผลิต เพื่อมอบรถบรรทุกที่มีสมรรถนะเป็นเลิศ ประหยัดและทนทาน พร้อมบริการหลังการขายที่ครอบคลุม ให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการต่อไป

          สามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารอื่นๆ ของ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก MAN Truck and Bus Thailand

Visitors: 878,815