ทดสอบ MG HS ยนตรกรรมไฮเทค ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ในราคาสุดเร้าใจ

 

             หลายปีที่แล้ว หลังจากค่าย MG เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย รถรุ่นธงรุ่นหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับค่ายนี้เป็นอย่างมากก็คือ MG GS รถอเนกประสงค์ ซึ่งรถรุ่นนี้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีแฟน ๆ อยู่ไม่น้อย ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา MG ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ที่ถูกวางตำแหน่งไว้ให้เข้ามาแทรกตัวช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดรถเอนกประสงค์ที่กำลังร้อนแรงแทน MG GS รถเอนกประสงค์เอสยูวีตัวเดิม ภายใต้ชื่อ MG HS

              จุดเด่นของ MG HS นอกเหนือจากรูปโฉมที่ถูกดีไซน์มาให้เป็นรถที่หลอมรวมความหรูหรา และความสปอร์ตได้อย่างลงตัว ด้วยเส้นสายสไตล์ British Shoulder Line อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยการบรรจุเทคโนโลยีล้ำสมัยมาแบบจัดเต็ม ชนิดที่เห็นออปชั่นกับราคาแล้วต้องร้องว๊าว

              ซึ่งไม่นานเกินรอ..หลังจากเปิดตัวได้สักพัก อีเมล์จดหมายเชิญให้ไปทดสอบรถรุ่นนี้ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของทีมงาน Autoindy ซึ่งเราก็รีบตอบรับกลับไปทันที..ด้วยความรู้สึกส่วนตัวที่อยากจะสัมผัสกับรถรุ่นนี้อยู่แล้ว

             ก่อนจะเล่าให้ฟังถึงสมรรถนะที่รับทราบได้จากการทดสอบ..ขอเล่าให้ฟังถึงสเปกของ MG HS อีกสักครั้งก่อน เผื่อใครยังไม่ทราบ

             MG HS มาพร้อมกับกระจังหน้าดีไซน์เฉพาะตัวด้วยแนวคิดชื่อเท่ ๆ ว่า “Stella Magnatic Field” ที่ทีมงานได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ด้านข้างเสริมความเข้มด้วยคิ้วซุ้มล้อและชายน้ำสีดำด้าน พร้อมเสริมกิมมิคเล็ก ๆ ให้ดูหรูหราขึ้นด้วยคิ้วโครเมี่ยมที่ชายประตู รับกับมือเปิดประตูโครเมี่ยมสีเงิน กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมฝังไฟเลี้ยวไว้ในตัว ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ LED Projector เสริมด้วยไฟ Daytime Running Light และไฟตัดหมอกที่ด้านล่าง ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับไฟท้ายแบบ Space Light Field และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ส่วนล้ออัลลอยด์จัดมาให้ 2 แบบคือในรุ่นเริ่มต้นคือรุ่น C จะมาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว แต่ในรุ่นที่สูงขึ้นไปคือรุ่น D และ X จะขยับไซส์ขึ้นมาเป็นขนาด 18 นิ้ว ส่วนด้านบนหลังคามาพร้อมกับพาโนรามิกซันรูฟ ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.1 ตารางเมตร

              ภายในจัดเต็มด้วยโทนสีแดง ดีไซน์ในภาพรวมออกแบบเน้นให้อุปกรณ์ต่าง ๆ โอบล้อมคนขับเอาไว้ วัสดุหุ้มต่าง ๆ บริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตูทั้งหมด เป็นแบบ Soft Touch ที่ให้สัมผัสนุ่มนวลซึ่งส่วนใหญ่จะมักจะพบเห็นได้ในรถตระกูลหรูเป็นส่วนใหญ่

              เบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์สปอร์ตสไตล์ Bucket Seat โอบกระชับร่างกายของคนขับและผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ทีมงานเลือกโทนสีดำสลับแดงมาให้กับเบาะนั่ง ทำให้ดูทั้งหรูหรา และดุดันสไตล์สปอร์ต โดยในรุ่น X ที่เป็นรุ่นท๊อปนั้น ตรงแนวกลางของเบาะ เลือกใช้วัสดุสุดหรูอย่าง Alcantara มาให้ด้วย

              เบาะหลัง เป็นแบบ 60:40 มีที่วางแขนขนาดให้ มีชุดปรับอากาศด้านหลังมาให้เสร็จสรรพ พร้อมเพิ่มความหรูหราด้วยไฟ Interactive Ambient Light ที่ไว้ช่วยปรับเสริมบรรยากาศในการใช้รถให้เข้ากับสไตล์คนขับได้หลากหลาย เพราะสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง 64 เฉด

 

              หน้าจอเรือนไมล์ขนาด 7 นิ้ว ดีไซน์ผสมผสานระหว่างดิจิตอล และอนาล็อค พร้อมแสดงข้อมูลการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ฯลฯ ส่วนหน้าจอเครื่องเล่นตรงกลางเป็นจอทัชสกรีน ที่มีขนาด 10 นิ้ว พร้อมบรรจุฟังก์ชั่นอัจฉริยะมากมายตามสไตล์ MG ไม่ว่าจะเป็นระบบแผนที่นำทาง, ภาพ 360 องศารอบคัน และที่พลาดไม่ได้คือระบบความบันเทิงจาก True ID Music และข่าวสารต่าง ๆ จากเว็บ Sanook และแน่นอน MG HS มาพร้อมกับระบบสั่งงานด้วยเสียงล้ำ ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ MG ที่สั่งการด้วยวลีสุดฮิต “Hello MG”

              สำหรับหัวใจของ MG HS นั้น คือเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบฯ ขนาด 1.5 ลิตร ที่ทำหน้าที่ส่งพละกำลัง 162 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 5,600 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรในรอบต่ำ ๆ เพียง 1,700 รอบต่อนาที ให้กับเกียร์ TST หรือ Twin Clutch Sportronic Transmission แบบ 7 สปีด เพื่อถ่ายทอดลงพี้นเป็นลำดับต่อไป

 

เริ่มต้นทดสอบ

              การทดสอบ New MG HS ครั้งนี้ เป็นการทดสอบในระยะทางที่ไม่ไกลนัก บนเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ โดยทีมงานปล่อยให้เหล่าผู้สื่อข่าวหลากหลายสำนักที่ร่วมทริปวิ่งกันไปแบบ “ฟรีรัน” คือกำหนดจุดหมายเอาไว้ให้ แล้วก็ปล่อยให้วิ่งกันไปตามสไตล์ใครสไตล์มัน

              จากสัมผัสแรกที่ได้นั่งลงไปบนเบาะของ MG HS ในความรู้สึกส่วนตัวเบื้องต้น รู้สึกว่าเบาะค่อนข้างแข็งไปนิด แต่ทรงของเบาะโอบกระชับตัวดี หากไม่นับความรู้สึกว่าเบาะแข็งแล้วก็ถือได้ว่าเป็นเบาะที่นั่งสบายมาก ๆ แต่..ต้องมีแต่ครับ เจ้าเบาะแข็ง ๆ ของ MG HS มีดีกว่าที่คิดครับ เดี๋ยวตอนท้ายผมจะมาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไร

              ในส่วนของการปรับตำแหน่งการขับ เบาะไฟฟ้า และพวงมาลัยที่ปรับได้หลายทิศทาง ลดช่องว่างอันเกิดจากขนาดของร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถปรับให้เข้ากับสรีระได้เกือบทุกขนาด เพราะปกติตัวใหญ่ ๆ แขนขายาว ๆ ของผมมักจะก่อปัญหาในการจัด Position ในการนั่งอยู่เป็นประจำ ชนิดที่ทำให้รถบางรุ่นกลายเป็นเครื่องทรมานร่างกายไปเลยทีเดียวแต่ปัญหาดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับเจ้า MG HS เลยแม้แต่น้อย

              ส่วนในเรื่องการขับขี่นั้น เบื้องต้น MG HS เป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่ผู้ขับขี่น่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักนิด เพราะผมรู้สึกว่าคันเร่งค่อนข้างเบา ตอบสนองกับเท้าได้ไวมาก แค่ปล่อยเบรก แตะคันเร่งรถก็พร้อมจะออกตัวทันที ก็ต้องขับปรับตัวกันสักพักนึงนั่นแหละครับ แต่พอคุ้นเคยกับสไตล์ของคันเร่งและเบรกแล้ว เจ้า MG HS ก็กลายเป็นรถที่ขับสนุกเอาเรื่อง เพราะแรก ๆ ก็ไม่นึกว่าเครื่อง 1.5 ลิตร กับบอดี้เบิ่ม ๆ จะสามารถสร้างอัตราเร่งได้ปรู๊ดปร๊าดขนาดนี้ โดยเฉพาะในช่วงย่านความเร็วใช้งานคือตั้งแต่ออกตัวไปจนถึงช่วง 120 ทำได้ดีเลยทีเดียว แถมยังเหลือ ๆ สำหรับเร่งแซงได้อีกสบาย ๆ ไม่มีต้องลุ้น

              อ่อ..เจ้า MG HS มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 แบบนะครับ โดยโหมดมาตรฐานเหมือนรถทั่ว ๆ ไปจะมี 3 แบบ ซึ่งที่เล่าไปแล้วก็คือการขับขี่ในโหมด Normal ส่วนเมื่อเปลี่ยนไปใช้โหมด Eco คันเร่งก็จะหน่วง ๆ ไปนิด โดยเฉพาะในช่วงออกตัว แต่หากต้องการเร่งแซงก็กดคันเร่งหนักลงไปนิด ก็จี๊ดเหมือนเดิมครับ แต่ที่เด็ดสุดน่าจะเป็นโหมด Sport ที่พอเปลี่ยนโหมดปุ๊บ ความรู้สึกก็เปลี่ยนทันที คันเร่งจะตอบสนองได้ดีขึ้นแบบรู้สึกได้ ขับสนุกขึ้นไปกว่าเดิม ลากรอบเรียกแรงม้าได้มันส์ขึ้น เร่งแซงได้ทันใจกว่าเดิม ส่วนโหมดที่ 4 เป็นโหมด Super Sport โดยเจ้าโหมดนี้จะถูกแยกปุ่มคอนโทรลสำหรับเรียกใช้งานออกมาเป็นปุ่มกดสีแดงบนแป้นพวงมาลัย ออกแนวสไตล์ปุ่มยิงไนตรัสของพวกรถแต่งทั้งหลาย ในโหมดนี้สามารถลากรอบกันไปยาว ๆ ชนิดชน Red Line กันเลยทีเดียว ทำให้สามารถเรียกม้ามาได้แบบไวสุด ๆ ส่งผลให้ขับสนุกขึ้นมาก ๆ

              ข้อดีอีกอย่างที่เห็นได้ชัดเมื่อมานั่งอยู่ภายใน MG HS ก็คือเป็นรถที่เก็บเสียงได้ดีมาก ๆ รุ่นหนึ่ง โดยในช่วงความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยปกติแล้วสำหรับรถในสไตล์เอสยูวี มักจะหนีไม่พ้นเสียงลมอื้ออึงในระดับหนึ่ง แต่รถรุ่นนี้กับได้ยินเสียงรบกวนแทรกตัวเข้ามาน้อยมาก ทั้งเสียงลม และเสียงเครื่องยนต์ รวม ๆ แล้วเรียกได้ว่าทีมวิศวกรทำการบ้านมาดีเลยทีเดียวกับระบบการควบคุมเสียงรบกวน

              ในเรื่องของระบบช่วงล่างนั้น ในความรู้สึกของผม MG HS สอบผ่านชนิดเกือบเต็ม ด้วยช่วงล่างแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และมัลติลิงค์ ที่ถูกเซ็ตมาอย่างเหมาะสม ทำให้รถรุ่นนี้ให้ฟิลลิ่งของช่วงล่างที่เรียกได้ว่า Euro Style คือนุ่มนวล แต่ไม่ย้วย สามารถเล่นโค้งแบบหนัก ๆ ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็คงจะไม่ถึงกับขนาดรถเก๋งโหลดเตี้ย แต่ถ้าเทียบกันในรถเซ็กเม้นเดียวกัน ราคาใกล้ ๆ กันแล้ว ถือว่าจัดมาในระดับต้น ๆ เลยทีเดียว

              ส่วนหนี่งที่ทำให้รถรุ่นนี้สามารถขับได้อย่างมั่นใจขนาดนี้ ก็น่าจะเพราะตัวรถบรรจุระบบช่วยเหลือในการขับขี่มาแบบจัดเต็ม ชนิดที่เรียกว่าเต็มจนแทบล้นเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control), ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP  (Anti Rolling Program), ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)

              พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) อีก 7 ระบบประกอบด้วย
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control), ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning), ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)

              นอกจากนี้ก็ยังมี ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning), ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist), ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) และ ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

              มีข้อดี..ก็ต้องมีข้อเสียนะครับ แต่สำหรับผมจะเรียกว่าข้อเสียก็คงจะไม่เชิงนัก เรียกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ต้องทำความเข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสมดีกว่าครับ สิ่งนั้นก็คือเจ้าบรรดาระบบอัตโนมัติทั้งหลายนั่นแหละครับ ด้วยความที่รถรุ่นนี้บรรจุระบบอัตโนมัติมาให้แบบจัดเต็ม ดังนั้นหลายครั้ง หลายช่วงเวลา รถจึงเข้ามาควบคุมการขับขี่แทนตัวเรา อาทิ ในขณะที่ขับเข้าโค้ง ระบบ LDP หรือระบบ Lane Departure Prevention และระบบ LKA sinv Lane Keep Assist ก็จะช่วยกันดึงรถให้อยู่ในไลน์ที่รถคำนวณ หรือก็คือประมาณช่วง “กลาง” ของเลนนั่นเอง ซึ่งโดยปกติ การขับขี่เราก็มักจะไม่ได้ขับกันกลางเลนเป๊ะอยู่แล้ว เมื่อระบบดังกล่าวทำงานก็จะเกิดอาการ “ขืนพวงมาลัย” สู้กับมือของคนขับ ทำให้รู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่อย่างที่บอกครับ เจ้าอาการพวกนี้มันไม่ใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่ควรต้องทำความรู้จักกับมัน และเลือกที่จะ “เปิด” หรือ “ปิด” ให้เหมาะสมนั่นเอง

              คิดง่าย ๆ นะครับ สมมติว่าเราเดินทางไกลมาก ๆ แล้วรู้สึกว่าเริ่มมีอาการง่วง แต่ก็ยังไม่มีจุดที่เหมาะสมที่จะจอดพัก ถ้าเปิดระบบนี้เอาไว้ แล้วบังเอิญถนนแถวนั้นมีเส้นถนนที่ชัดพอที่ระบบของรถจะจับได้ แล้วเราดันเกิดอาการหลับใน เจ้าระบบพวกนี้ก็จะกลายเป็นตัวช่วยที่จะช่วย “ประคอง” รถไปต่อได้อีกระยะ โดยที่ไม่พุ่งตกถนนไปทันที ซึ่งอาจจะนานพอให้เรามีสติกลับมาควบคุมรถได้อีกครั้ง แต่ถ้าช่วงเวลานั้นคุณ “สด” รู้สึกว่าตัวเองยังกระปรี้ กระเปล่า ยังไงก็ไม่หลับแน่ ๆ คุณอาจจะปิดระบบดังกล่าวไปก่อน เพื่อไม่ให้ระบบมาทำงานแข่งกับคุณก็ได้ พอง่วง ๆ ก็ค่อยมาเปิดใช้อีกครั้ง...เห็นไม๊ล่ะครับว่าระบบพวกนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพียงแต่คุณต้องรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้น

              สรุปโดยรวม New MG HS เป็นรถเอนกประสงค์อีกรุ่นหนึ่งที่น่าใช้งานมาก ๆ ไม่ว่าจะในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา สมรรถนะ หรือออปชั่น รวมไปถึงระบบไฮเทคต่าง ๆ ที่จัดเต็มมาเกินราคาไปมาก เรียกว่าคุ้มสุด ๆ แต่ด้วยความไฮเทคนี่เอง ที่ผู้ที่อยากรับไปเป็นเจ้าของจะต้องทำความรู้จักกับมันอยู่สักนิด เพื่อให้สามารถใช้ระบบต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่านั่นเองครับ

              สำหรับสนนราคาก็มาแบบเบา ๆ เริ่มต้นด้วยรุ่นเริ่มต้น คือ MG HS TURBO รุ่น C กับราคา 919,000 บาท รุ่นรอง MG HS TURBO รุ่นดี ราคา 1,019,000 บาท และรุ่นท็อปที่ใส่ออปชั่นมาแบบจัดเต็ม คือรุ่น MG HS TURBO รุ่น X กับราคา 1,119,000 บาท ครับ...หากใครสนใจก็ไปลองขับ ลองคุยหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูม MG ได้เลยนะครับ

Visitors: 1,008,730