HYUNDAI IONIQ ทดสอบรถยนต์พลังไฟฟ้า..แรง..ประหยัด..ออปชั่นล้น ๆ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา www.autoindy.netได้มีโอกาสได้ไปร่วมการทดสอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถ EV รุ่นใหม่จากค่ายยักษ์ใหญ่จากแดนโสม อย่าง HYUNDAI IONIQ ที่ทางทีมงานได้จัดเส้นทางวิ่งให้เหล่าผู้สื่อข่าวได้ทดสอบสมรรถนะ และความสามารถต่าง ๆ ของรถอย่างครบครัน แม้เส้นทางจะไม่ได้ยาวไกลมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะได้ลองระบบ “ตัวช่วย” ต่าง ๆ ของรถรุ่นนี้ได้อย่างครบถ้วน
สำหรับเส้นทางวิ่งนั้น เริ่มต้นจากร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณ เมืองทองธานี ขึ้นทางด่วนไปลงด่านบางพูน แล้วกลับรถวิ่งวนขึ้นทางด่วนกลับมาลงที่เมืองทองอีกครั้งรวมระยะทางประมาณเกือบ 30 กิโลเมตร โดยช่วงแรกเราคงต้องทำความรู้จักกับรถไฟฟ้า HYUNDAI IONIQ กันก่อน
HYUNDAI IONIQ มีพละกำลังติดตัวมา 120 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 295 นิวตัน-เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดตามสเปกได้ 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราเร่ง 0-100 เพียง 9.9 วินาที ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion Polymer (LiPo) ความจุ 28 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ Single Speed Reduction Gear ระบบการชาร์จใช้หัวชาร์จแบบ CCS Combo/Type 2 ซึ่งถือเป็นแบบมาตรฐานที่มีการใช้มากที่สุดในประเทศไทย
เจ้ารถคันนี้ เป็นรถไฟฟ้า 100% ที่เสพพลังงานด้วยการเสียบปลั๊ก จะเป็นไฟบ้าน ก็ได้ หรือจะเป็นไฟจากตู้ชาร์จขนาดเล็ก Wall Box ตามจุดชาร์จต่าง ๆ ที่เริ่มมีให้เห็นกันหนาตาขึ้น ไม่ว่าจะตามปั๊มน้ำมัน ตามห้าง หรือแม้แต่ด้านหน้าของร้านอาหารแห่งนี้ก็ตาม โดยในการชาร์จนั้น หากใช้ไฟบ้านปกติ ชาร์จผ่านสายชาร์จที่แถมมากับรถจะใช้เวลาประมาณ 8-12 ชม. แล้วแต่ประมาณไฟที่เหลืออยู่ในรถ หากใช้ตู้ชาร์จขนาดเล็กที่เห็นกันทั่ว ๆ ไป ก็จะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. แต่ในกรณีเร่งด่วน ก็ยังมีตู้แบบ “ควิกชาร์จ” ที่สามารถชาร์จไฟได้ประมาณ 80% ในเวลาเพียง 20 นาทีเศษ ๆ
เมื่อรถถูกชาร์จพลังงานจนเต็ม ตามสเปกจะสามารถวิ่งได้ระยะทาง 280 กิโลเมตร แต่ระยะทางดังกล่าวจะแปรผันไปตามลักษณะการขับขี่ เพราะหากขับแบบธรรมดาปกติ มีการเบรก มีการชะลอความเร็ว ตัวรถเองก็จะมีระบบRegenerative braking systemหรือระบบการชาร์จไฟกลับ ทำให้สามารถวิ่งได้ระยะมากขึ้น โดยระบบนี้สามารถปรับระดับได้ 3 เลเวลโดยใช้ Paddle Shift ที่ติดตั้งอยู่ข้างพวงมาลัย ซึ่งในต่างประเทศเคยมีผู้ที่สามารถใช้รถรุ่นนี้วิ่งได้ในระยทางถึง 400 กิโลเมตรด้วยการชาร์จครั้งเดียวมาแล้ว
นอกจากนี้ในเรื่องของความประหยัดนั้นผู้ขับขี่ยังสามารถเพิ่มความประหยัดเข้าไปให้มากขึ้นในกรณีที่ขับอยู่คนเดียวโดยสามารถเลือกระบบปรับอากาศแบบ Driver Only ที่จะเปิดแอร์เป่าที่คนขับเพียงคนเดียว ทำให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องสมรรถนะการขับขี่นั้น ก็สามารถเลือกโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสไตล์ได้ถึง 3 แบบคือ Eco, Normal และ Sport ซึ่งรถคันนี้ก็จะปรับการควบคุมให้เหมาะกับแต่ละสไตล์ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความประหยัด และพละกำลัง
สำหรับในการทดสอบบนถนนจริงนั้น..ระบบแรกที่ทดสอบบนเส้นทางนี้ก็คือระบบ Smart Cruse Control หรือระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ซึ่งสามารถปรับลด หรือเพิ่มความเร็วตามรถคันหน้าได้ โดยในการทดสอบครั้งนี้จะมีรถของทีมงานวิ่งนำหน้า โดยใช้สื่อสารกับรถทดสอบโดยวิทยุสื่อสารของ Instractor คอยบอกให้ปรับเปลี่ยนความเร็วเพื่อให้เราได้รู้สึกถึงการทำงานของระบบ Smart Cruse Control
โดยถ้าจะบอกว่าระบบนี้ถือเป็นไฮไลท์ของการทดสอบคราวนี้เลยก็ว่าได้ เพราะแม้ระบบนี้จะมีบรรจุมาในรถยนต์หลายรุ่น หลายยี่ห้อมาแล้วระยะหนึ่ง แต่คงต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับความนุ่มนวล และแม่นยำในการปรับเปลี่ยนความเร็วในระดับที่สามารถใช้คำว่า “เนียน” ได้เต็มปาก
อาจจะด้วยการที่ HYUNDAI IONIQ เป็นรถไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ดังนั้นการเร่งหรือลดความเร็วของรถจึงไม่มีการกระชาก หรือกระตุกเปลี่ยนเกียร์ แบบที่เรามักจะสัมผัสได้กับรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหลาย บางครั้งหากรถคันหน้ามีการปรับเปลี่ยนความเร็ว หากไม่ใช่การเบรกเร็ว ๆ หรือเร่งความเร็วกระทันหัน เราแทบจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของระยะห่างระหว่างรถทั้ง 2 คันเลยทีเดียว
ระหว่างที่ทดสอบเจ้าระบบ Smart Cruse Control ก็มีการทดสอบระบบต่าง ๆ ควบคู่ไป เช่นระบบ Lane Departure Warning (LDW) และ Lane Keep Assist (LKA) ที่ช่วยเตือนและช่วยดึงรถให้กลับมาอยู่ในเลนในขณะที่เราเผลอ ซึ่งก็ทำงานได้อย่างแม่นยำและนุ่มนวล พร้อมกันนี้ก็ยังมีระบบ Blind Sport Detection (BSD) และ Lane Change Assist (LCA) ซึ่งจะช่วยเตือนให้เราได้รับรู้ถึงรถที่วิ่งเข้ามาในมุมอับสายตาที่มองไม่เห็นในกระจกมองข้าง
ในช่วงขากลับเมื่อย้อนทางจากด่านบางพูนมุ่งหน้าเข้าเมือง ในช่วงถนนโล่งเราก็ลองอัตราเร่งกันสักหน่อย ซึ่งเจ้า HYUNDAI IONIQ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับรูปร่างที่ดูสปอร์ต เพราะพละกำลัง และอัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดในแบบฉบับของรถสปอร์ต ก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีที่เท้าขยี้ลงบนคันเร่ง และอย่างว่าแหละครับ..รถคันนี้เป็นระบบ Single Speed Reduction Gear หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีเกียร์เดียวที่สามารถเร่งความเร็วขึ้นตามกำลังไฟที่จ่ายเข้าไปในมอเตอร์ได้ทันที ดังนั้น..อัตราเร่งจึงรวดเร็วว่องไว แถมยังไม่มีช่วงสะดุดเปลี่ยนเกียร์ให้เสียอารมณ์ ส่วนความเร็วปลายที่ทำได้นั้นขอไม่บอกนะครับ ว่าได้แค่ไหน เอาเป็นว่า..เกินจากสเปกที่แจ้งไว้ก็แล้วกัน
ก่อนลงทางด่วน..แถมท้ายอีกนิดกับระบบ Smart Cruise Control กับการชะลอจอดหยุดนิ่ง โดยรถนำจะชะลอตัวลงตามสภาพเส้นทางที่ต้องจอดเมื่อสุดปลายทางด่วน ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหลัก ซึ่งเจ้า HYUNDAI IONIQ ก็ค่อย ๆ ชะลอตามรถคันหน้าอย่างนิ่มนวล เมื่อรถคันหน้าเบรกรถจนหยุดสนิท รถทดสอบของเราก็จอดตามโดยที่ผม ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการถือพวงมาลัยบังคับทิศทาง และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัวต่อภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 วินาที เจ้า IONIQ ก็หมุนล้อเคลื่อนตัวตามไปแบบเนียน ๆ เหมือนเดิม
สำหรับเจ้ารถไฟฟ้า HYUNDAI IONIQ ที่มีสนนราคาค่าตัวประมาณ 1.7 ล้านคันนี้ สำหรับผม ถือได้ว่าเป็นรถที่มีความคุ้มค่าเลยทีเดียว เพราะเมื่อมองทั้งในด้านสมรรถนะที่จัดเต็มมาให้เกินคาด พร้อมด้วยอัตราเร่งจี๊ด ๆ ตามสไตล์รถไฟฟ้า บวกกับออฟชั่นจากบรรดาระบบไฮเทคต่าง ๆ ที่ให้มาแบบครบครัน อีกทั้งยังทำงานได้แบบฉลาดล้ำ ช่วยให้เราขับขี่ได้แบบสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นมาก ๆ ก็ยิ่งน่าสนใจ และที่สำคัญอันเป็นหัวใจของรถไฟฟ้า คือเรื่องของความประหยัดและมลพิษที่เป็นศูนย์ ทำให้ยิ่งดูคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งในเรื่องของความประหยัดนั้น ตามที่วิศวกรคำนวณตัวเลขมากให้ก็คือระยะทาง 1 กิโลเมตร คิดเป็นมูลค่าตัวเงินเพียง 50 สตางค์เท่านั้น..เอาเป็นว่า จ่ายครั้งเดียว หลังจากนั้นคุณก็จะได้รถที่ทั้งอินเทรนด์ ขับสนุก ประหยัดตังค์ แถมยังรักษ์โลกอีกด้วย..อย่างนี้จะเรียกว่าไม่คุ้มได้อย่างไรครับ
Hastag : #hyundaiioniq #testdrive #evcar #hyundai #ioniq #review #ทดสอบ #ฮุนได #ไอโอนิค #ฮุนไดไอโอนิค #รีวิว