All New Honda Civic 1.8 EL & 1.5 Turbo RS สัมผัสตัวแรงบนเส้นทาง 270 กม. บนเส้นทางภูเก็ต-กระบี่-ภูเก็ต
หลังจากเปิดเปิดตัวรถ Honda Civic ในเจนเนอเรชั่น 10 ซึ่งเป็นโมเดลเยียร์ 2016 หรือที่วัยรุ่นเรียกตามรหัสตัวถังว่า Honda Civic FC ไปได้ไม่นาน ทางบริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิลก็ติดต่อมาให้ทีมงาน Autoindy.net ของเราไปเข้าร่วมทดสอบรถรุ่นนี้บนเส้นทางภูเก็ต-กระบี่-ภูเก็ต ซึ่งมีระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตรซึ่งในการทดลอง ครั้งนี้ทางสต๊าฟกำหนดให้เป็นการขับขี่แบบคันละ 2 คน แบ่งเส้นทางเป็น 4 ช่วงทำให้สามารถสลับกันขับได้คนละครึ่งทางพอดิบพอดี โดยผมได้เพื่อนร่วมทางคือคุณแพน จากเว็บ Headlightmag เอาล่ะครับ..ไปเร่ิมกันเลย
Honda Civic 1.8EL
เมื่อเร่ิมต้นการทดสอบ ผมเป็นคนขับคนแรก กับเจ้า 1.8 EL ที่พกพาขุมพลังรหัส R18Z1 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1,799 ซีซี 4 สูบ แบบ SOHC 16 วาล์ว จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบวาล์วแปรผัน i-VTEC รองรับเชื้อเพลิง E85 ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที
อารมณ์แรกที่รู้สึกเมื่อเข้าไปนั่งบน Honda Civic รุ่นใหม่นี้ก็คือห้องโดยสารที่กว้างขวาง มุมมองกระจกหน้าที่เปิดโล่งด้วยกระจกหน้าบานใหญ่ และเสา A ที่เล็กเรียวลง ทำให้ทัศนวิสัยดีมากๆ รวมทั้งตำแหน่งคอนโทรลเกียร์ ปุ่มสวิตซ์ต่างก็ลงตัว หยิบจับ ใช้งานง่าย
เมื่อเริ่มขับผมก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งานแบบสบาย ๆ อัตราเร่งที่ดีกว่าที่คิด ยามต้องแซง ก็เร่งแซงได้ทันใจ เร่งออกตัวไม่อืด แต่ก็จะมีหน่วง ๆ ในช่วงออกตัวนิด ๆ ตามสไตล์เกียร์ CVT แต่ก็น้อยมากจนแทบไม่รู้สึก แต่หากต้องการความมันมากกว่าปกติ ก็คงต้องเปลี่ยนมาใช้เกียร์ในโหมดสปอร์ต ซึ่งก็ตอบสนองได้สะใจกว่าเดิมไม่น้อย
ช่วงล่างนุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ในการเข้าโค้งแรง ๆ มีความรู้สึกว่าช่วงท้ายจะมีอาการโยน ๆ อยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ในช่วงความเร็วสูงยิ่งในช่วงนี้ถนนค่อนข้างดี บางช่วงที่ขับเพลิน ๆ ความเร็วก็ขึ้นไปถึง 150 แบบไม่รู้ตัว ส่วนระบบเบรกนั้นก็ไว้ใจได้ เหยียบแล้วมีความรู้สึกตอบสนองได้ดี ไม่เหมือนรถรุ่นเก่า ๆ ที่เบรกนุ่มนวลจนรู้สึกคล้ายจะเบรกไม่อยู่
เมื่อครบระยะ 78 กิโลเมตร ก็สลับคนขับ ผมเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสาร ก็มีเวลามาจับสังเกตรายละเอียดรอบ ๆ ตัวซึ่งก็พบกว่าเจ้า 1.8 EL นี้ยังเก็บเสียงได้ไม่ค่อยเนี๊ยบนัก โดยเฉพาะเสียงจากพื้นถนนที่แทรกเข้ามาได้พอประมาณ
Honda Civic 1.5 Turbo RS
หลังจากขับขี่กันจนครบระยะขาไป ก็มาถึงจุดพักกินอาหารกลางวัน หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว ผมก็กลับมาประจำหน้าที่สารถีขับรถย้อนกลับเส้นทางเดิม กับรถคันใหม่ในรุ่น 1.5 Turbo RS ทางในช่วงนี้มีการทำถนนอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงตลอดเส้นทางเหมือนช่วงแรก แต่ก็กลายเป็นเครื่องพิสูจน์สมรรถนะของเจ้า 1.5 Turbo RS ได้ในอีกแง่มุมหนึ่ง เนื่องจากถนนในช่วงนี้มีช่วงให้แซงและใช้ความเร็วน้อยกว่า ดังนั้นจึงต้องรีดพละกำลังของขุมพลังใต้ฝากระโปรงของรถคันนี้ออกมาค่อนข้างมาก
ก่อนจะเล่าฟิลลิ่งการขับ ขอเล่าก่อนว่าเจ้า Honda Civic 1.5 Turbo พกพาขุมพลังอะไรเอาไว้ เพราะงานนี้ฮอนด้า ถอดเครื่องยนต์ในกลุ่ม R Series ออกไปแล้วนำเครื่องยนต์รหัส L15B7 มาใส่แทน โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้มีความจุกระบอกสูบ 1,496 ซีซี พร้อมระบบ Dual-VTC หรือระบบแปรผันองศาเพลาลูกเบี้ยว และระบบหัวฉีด Direct Injection พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Single Scroll รุ่น TD03 แรงดันบูสต์ 1 บาร์ ซึ่งลดลงจาก 1.5 บาร์ ของสเปก USA เพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย รวมทั้งยังมีเวสต์เกต เพื่อระบายไอเสียส่วนเกินที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า โดยขุมพลังตัวนี้ให้กำลังสูงสุดถึง 173 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) ที่รอบเริ่มจากรอบต่ำเพียง 1,700 – 5,500 รอบ/นาทีซึ่งทาง Honda เคลมว่า แรงเท่าเครื่อง 2.4 ลิตร ใน Accord แต่ ประหยัดเท่าเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
นอกจากนี้โดยตามเสป็กนั้น เครื่องยนต์และเกียร์รุ่นนี้จะมีน้ำหนักหนักกว่ารุ่น 1.8 อยู่ประมาณ 20 กิโลกรัม เพราะเกียร์ของรุ่น 1.5 Turbo ต้องรองรับแรงบิดที่มากกว่า จึงต้องมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง
ในการขับขี่นั้น พบว่าเครื่องยนต์ 1.5 Turbo ตัวนี้ ทำได้สมกับที่คุยเอาไว้ นั่นคือขับได้สนุกสนานเร้าใจ สามารถเร่งแซงได้ทันใจชนิดที่รู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากรุ่น 1.8 อย่างชัดเจน และอย่างที่บอกครับว่าถนนช่วงนี้ มีช่วงให้แซงสั้นมาก เพราะรถค่อนข้างติดเนื่องจากทำถนน มีช่องต้องรีบไป ซึ่งอัตราเร่งของรถรุ่นนี้ตอบสนองได้ดีมาก บางช่วงเร่งเพลิน ๆ รถวิ่งไปยัน 180 กม.ต่อ ชม. อย่างไม่รู้ตัว ถ้าไปได้เพื่อนร่วมทางสะกิดบอก ซึ่งนอกเหนือจากอัตราเร่งแล้ว นั่นก็บ่งบอกได้ถึงเรื่องของช่วงล่างที่เฟิร์มกว่าของรถรุ่นนี้ด้วย ซึ่งเมื่อขับแบบจับสังเกตก็พบว่าในช่วงเข้าโค้ง อาการสะบัดสะบิ้งน้อย ๆ ของด้านท้ายที่พบเห็นได้ในรุ่น 1.8 แทบไม่มีให้เห็นในรถรุ่นนี้ ทำให้สามารถเข้าโค้งได้เร็วกว่าเดิม ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากขนาดของล้อและยางหน้ากว้างกว่าและแก้มยางที่เตี้ยกว่า
ในช่วงที่ขับผ่านทางลูกรัง ที่เกิดจากการซ่อมแซมถนนอยู่ ก็พบว่ารุ่น 1.5 Turbo มีความกระด้างของช่วงล่างมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กระด้างจนนั่งไม่สบายนะครับ แค่รู้สึกได้ว่าแตกต่าง แต่ขณะเดียวกันในเรื่องของเสียงที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารกลับมีน้อยกว่าเดิม
เมื่อขับย้อนมาจนถึงช่วงเปลี่ยนตัว ก็สลับมาให้คุณแพนขับอีกครั้ง ในช่วงนี้มีเรื่องตื่นเต้นให้ลองเบรกกันเล็กน้อย เมื่อมีรถกระบะกลับรถตัดหน้าแบบกระทันหันชนิดอยู่เลนซ้ายดี ๆ ก็เลี้ยวขวากลับรถมันซะดื้อ ๆ สรุปว่าเบรกดี ระบบ ABS ทำงานตอบสนองไว ทำให้สามารถชะลอความเร็วและหักหลบได้อย่างราบรื่น โดยรวมมั่นใจได้ครับว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะสามารถ “เอาอยู่” ได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นเราก็มาลองอัตราเร่ง 0-100 กันแบบขำ ๆ จับเวลากันง่าย ๆ ด้วยน้ำหนักบรรทุกของชายร่างใหญ่ 2 คนที่รวมน้ำหนักกันแล้วประมาณ 230 กิโลกรัม กับทางที่เหมือนจะเป็นขึ้นเนินนิด ๆ ซึ่งก็ได้เวลาที่น่าสนใจเลยทีเดียวคือ 9.6 วินาทีในเกียร์ D และ 9.4 วินาที ในเกียร์ S
ส่วนเรื่องความประหยัด ขอบอกเลยนะครับว่าไม่ได้วัด เพราะขึ้นรถได้ก็ “เหยียบ” กันอย่างเดียว ทั้ง 2 คน แต่กด ๆ ดูค่าเฉลี่ยก็ 10 กิโลเมตรต้น ๆ ต่อลิตร ทั้ง 2 รุ่นนะครับ แถมเมื่อไปสอบถามเพื่อนร่วมทริปที่ขับนุ่มนวลหน่อยก็มีคนทำได้ถึงประมาณ 13 กิโลเมตรกว่า ๆ ต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดนะ เพราะในทริปนี้ให้นุ่มนวลอย่างไรก็ใช้ความเร็วกันเกิน 120 แน่นอน แถมถ้าใครคุ้นเส้นทางก็น่าจะรู้ว่าเส้นทางนี้เป็นทางขึ้น ๆ ลง ๆ เกือบตลอดทาง ไม่ใช้ทางราบ ๆ ให้ทดสอบขับประหยัดครับ
บทสรุป
สำหรับในความคิดเห็นของผมแล้ว Honda Civic Gen 10 นี้ เป็นรถที่น่าสนใจมากๆ อีกรุ่นหนึ่งที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด สำหรับคนที่ใช้งานทั่วไป เครื่องยนต์ 1.8 ก็ถือว่าเพียงพอแบบเหลือเฟือแล้วกับการใช้งานบนท้องถนน เพราะตัวรถกว้างขวางสะดวกสบาย ส่ิงอำนวยความสะดวกครบครัน เครื่องดี อัตราเร่งดีเหลือเฟือที่จะแซงรถทั่วไป แต่สำหรับสาวกของ Honda Civic อาจจะรู้สึกว่ามันแปลกไปบ้าง เพราะรถรุ่นนี้เซ็ตเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่างมาเน้นให้ใช้งานทั่ว ๆ ไปมากกว่าจะให้เอาไปซิ่งกัน ดังนั้นมันจึงนุ่มนวลกว่าที่เคย ไม่ค่อยมีอาการดึง กระชากในยามคิ๊กดาวน์ หรือเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งหากอยากได้ก็ต้องไปเล่นโหมด S เอา แต่ก็ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่าเกียร์รุ่นเก่า ๆ อยู่ดีเพราะมันคือ CVT
ส่วนคนที่ต้องการเปอร์ฟอร์มานซ์สูงขึ้น ก็คงต้องหันมาคบกับเจ้า 1.5 Turbo เพราะจี๊ดจ๊าดกว่ากันเยอะ แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าตัวที่สูงขึ้นพอสมควร รวมทั้งก็ยังไม่ค่อยมีอารมณ์กระชาก ๆ อีกเหมือนเดิม เพราะเป็นเกียร์ CVT เช่นกัน
เอาเป็นว่าถ้าเป็นคนขับรถเร็วพอประมาณ ใช้งานทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ได้ซิ่งมากเจ้า 1.8 ก็พอแล้วล่ะครับเพราะมันดีเกินพอสำหรับรถพิกัดเดียวกัน แต่ถ้าซื้อไปแล้ว ก็อย่าเผลอไปลอง 1.5 Turbo นะ...เดี๋ยวจะเสียดาย
ขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับทริปทดสอบดี ๆ แบบนี้ครับ